รถจักรยานยนต์ที่มีราคาสูงที่เราเรียกกันติดปากว่า รถบิ๊กไบค์ เป็นยานพาหนะที่มีให้เห็นอยู่บนท้องถนนกันมากมาย และมีราคาให้เลือกซื้อกันตั้งแต่หลักหมื่น จนไปถึงหลักล้านเลยก็มี เพราะฉะนั้นแล้วการเลือกทำประกันจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใครหลายคนเลือกจะทำกันแต่ ประกันภัย รถจักรยานยนต์ มีแบบไหนบ้างละ วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยให้ทุกคนได้ทราบไปพร้อม ๆ กัน 

ประกันภัย รถจักรยานยนต์ มีแบบใดบ้าง 

สิ่งแรกที่ทุกคนควรรู้เลยก็คือ ประกันภัย รถจักรยานยนต์ มีทั้งหมด 2 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกันคือ ประกันภัยภาคบังคับ และประกันภัยภาคสมัครใจ 

ประกันภัยภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. เป็นประกันภัยรถจักรยานยนต์ที่บังคับให้รถทุกคันจ้องทำประกันเพื่อดูแลในส่วนของค่ารักษาพยาบาลทั้งคนเจ็บ และคนเสียชีวิตเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งราคาเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดความจุของเครื่องยนต์ของรถแต่ละคัน

ประกันภัยภาคสมัครใจ เป็นประกันที่สามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ซึ่งรูปแบบการให้ประกันก็จะคล้าย ๆ กับประกันภัยรถยนต์นั่นเอง นอกจากนี้ ประกันภัย รถจักรยานยนต์ ยังมีให้เลือกรูปแบบความคุ้มครองตั้งแต่ประกันชั้น 1, 2+, 3+ และ 3 อีกด้วย โดยสามารถลงรายละเอียดรูปแบบประกันแต่ละประเภทได้ดังนี้ 

  • ประกันภัยรถจักรยานยนต์ ชั้น 1 

– คุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและคู่กรณี

– ให้ความคุ้มครองทั้ง ชีวิต ทรัพย์สิน และค่ารักษาพยาบาล ของผู้เอาประกัน และคู่กรณี

– คุ้มครองกรณีรถสูญหายและไฟไหม้

– คุ้มครองกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณีเช่น ลื่นล้ม ชนต้นไม้ กำแพง เป็นต้น 

  • ประกันภัยรถจักรยานยนต์ ชั้น 2+

จะให้ความคุ้มครองเหมือนกันกับประกันภัยรถจักรยานยนต์ชั้น 1 แต่จะแตกต่างกันที่ 

– ไม่คุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณี 

– จ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับรถที่ซื้อประกัน 

  • ประกันภัยรถจักรยานยนต์ ชั้น 3+

จะให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกันกับประกันภัยรถจักรยานยนต์ชั้น 2+ แต่จะแตกต่างกันที่ 

– ไม่คุ้มครองในกรณีที่รถเกิดไฟไหม้ 

– ไม่คุ้มครองในกรณีที่รถเกิดการโจรกรรม หรือสูญหาย 

  • ประกันภัยรถจักรยานยนต์ ชั้น 3

จะให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกันกับประกันภัยรถจักรยานยนต์ชั้น 3+ แต่จะแตกต่างกันที่ 

– จะชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะรถของคู่กรณีเท่านั้น  

– ไม่คุ้มครองรถที่เอาประกัน  

อย่างไรก็ตาม ประกันภัย รถจักรยานยนต์ แต่ละชนิดนั้นต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นแล้วการจะเลือกตัดสินใจต่อประกันชนิดไหนก็แล้วแต่ควรนำค่าใช้จ่าย และความคุ้มครองที่จะได้รับมาพิจารณาว่าคุณจำเป็นต่อประกันชนิดนั้นหรือไม่ แน่นอนว่าการเลือกซื้อประกันนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน